วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ..(จากบ้านนอก)

โรค ตะๆๆ ติๆๆ อะๆๆอ่าง (โอ้ย...อะไรมันจะขนาดนั้น)

ก่อนเรามาความรู้จักทำความเข้าใจกันสักนิดก่อนว่าโรคติดอ่างที่จริงแล้วมันเป็นได้อย่างไรและเพราะอะไร.

ติด อ่าง
(Stuttering)
ผศ
.นพ.พนม เกตุมาน

โรคติดอ่างเป็นโรคที่พบได้ตั้งแต่เด็ก อาจเป็นต่อเนื่องไปจนโต ทำให้เกิดปมด้อย ไม่มั่นใจในตนเอง ดังนั้น เมื่อพบว่าเด็กมีอาการติดอ่าง ควรรักษาตั้งแต่ต้น

อาการ

การพูดขาดความต่อเนื่อง ติดๆขัดๆ อาจติดในคำแรกๆ หรือเป็นเฉพาะบางคำ บางทีมีการนำคำบางคำมาใช้แทนคำที่พูดไม่ได้ มีการออกเสียงหรือพยางค์ซ้ำๆ ลากเสียงยาวๆ มีคำแทรกบ่อยๆ เช่น เอ้อ อ้า พุดขาดเป็นห้วงๆ มีการหยุดภายในคำ หยุดพูดเป็นพักๆ อาการมักสัมพันธ์กับความเครียดหรือสภาวการณ์ที่พูด อาการอาจไม่เกิดเมื่ออ่านออกเสียง ร้องเพลง พูดคนเดียว หรือพูดกับสัตว์เลี้ยง

อุบัติการณ์

ความชุกของโรคนี้ในวัยเด็ก ร้อยละ 1 ในวัยรุ่นพบร้อยละ 0.8

ชายพบบ่อยกว่าหญิง อัตราส่วน ชายต่อหญิง เท่ากับ 3 ต่อ 1

การดำเนินของโรค

มักเริ่มเป็นตั้งแต่เด็ก อายุ 2-7 ขวบ (ส่วนใหญ่พบเริ่มอายุ 5 ขวบ) ในระยะเวลาที่เด็กเริ่มหัดพูด บางคนเป็นชั่วคราวแล้วหายไปได้เอง ร้อยละ 60 หายเองก่อนอายุ 16 บางคนเป็นต่อเนื่องจนโต จะรักษายาก แรกๆที่เป็นผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัว แต่ต่อมาผู้ป่วยจะอายและพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องพูด เช่นการรับโทรศัพท์ หรือหลบเลี่ยงการพูดหน้าชุมชน ถ้าจะพูดจะเกิดความเครียด อาการอาจทำให้เสียหน้าที่การงาน

สาเหตุ

พบว่ามีปัจจัยทางพันธุกรรมในโรคนี้

การรักษา

ไม่มียารักษาโรคนี้โดยตรง การรักษาใช้หลายวิธีประกอบกัน ได้แก่

พฤติกรรมบำบัด

วจีบำบัด

การผ่อนคลายความเครียด

(พอคร่าวๆ เน๊อะ...) แล้วที่นี้หลังที่รู้กันมาพอสมควรแล้วว่า โรคติดอ่างนี้มันเป็นยังไง ...ที่นี้มาดูวิธีการดูแลรักษาป้องกันไม่ให้เกิดกับบุคคลในครอบครัวเราบ้าง..


เอ้า..ที่นี้มันจะสนุกและแปลกใหม่ตรงที่ผม นำเอาวิธีการของคน2กลุ่มมาบอก
กลุ่มแรก คือ นายแพทย์หรือที่พวกเราคุ้นเคยกันดีก็คือหมอ และกลุ่มที่2คือ หมออินเตอร์(คืออะไร)หมออินเตอร์ก็คือ พวกเราๆนี้แระเอาแล้วเกี่ยวอะไรกับหมอล่ะ ยกตัวอย่างเช่นมีกลุ่มคนกลุ่มสนใจหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องไก่ อ่ะพอได้ข้อมูลมาแล้วอ่านพิจารณาแล้ว รู้สึกว่าเ่อ่อ..มันดี เนื้อหาน่าสนใจว่ะ..เผยแผ่ดีกว่า..(ก็เหมือนผม)



กลุ่มแรก
------------
อาการพูดติดอ่างเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการที่สะดุดในวัยเด็ก อาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก หรือเกิดขึ้นเมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น คาดว่า อาจจะมีผู้ปกครองที่ดูแลเอาใจใส่และฝึกฝนทุกอย่าง อย่างเข้มงวด เอาจริงเอาจัง และพิถีพิถันตลอดเวลา ทำให้เด็กต้องระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษไม่ว่าจะทำอะไร

โดยเฉพาะถ้า พ่อแม่เป็นคนที่เน้นในเรื่องของการพูด ร เรือ ล ลิง สระ -ะ สระ -า เด็กก็ยิ่งต้องเตรียม ตัวเรื่องการพูดมากเป็นพิเศษโดยไม่รู้ตัว และเมื่อมีปัญหาแล้วได้รับการเตือนหรือดุก็จะยิ่งทำให้ความมั่นใจลดลง ซึ่งการเตือนหรือดุนั้นถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกทาง และพฤติกรรมสะดุดนี้ก็จะเกิดขึ้นเมื่อเด็ก เติบโตต่อไป

แต่การที่ เด็กถูกฝึกหัดเลี้ยงดูมาอย่างพิถีพิถันและเข้มงวดนั้น ก็มีส่วนดีไม่ใช่น้อย เพราะจะทำให้เติบโต ขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นคนที่รับผิดชอบต่อสังคม เป็นคนที่รับผิดชอบต่อตัวเอง และรับผิดชอบต่องานที่ทำอยู่ ตรงจุดนี้แหละที่จะทำให้มีเพื่อนมาก เป็นที่รักใคร่และชื่นชอบของเพื่อนร่วมงาน จึงถือว่าอาการติดอ่างเป็นจุดอ่อนที่ไม่สำคัญในการที่จะคบหาสมาคมกับใครๆ

แต่ อย่างไรก็ดียังถือว่าเป็นจุดอ่อน ซึ่งถ้าได้รับการแก้ไขก็จะทำให้สิ่งที่ตามมาเป็นประโยชน์กับคนคนนั้นอย่าง เต็มที่

เพราะพวกเราอ่านประวัติศาสตร์ของอเมริกา เราจะพบว่าบรรดาผู้นำของสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นมา กล่าวคำปราศรัยทีละนานๆ ด้วยคำปราศรัยที่เต็มไปด้วยความหมายซาบซึ้งตรึงใจชาวอเมริกันและชาวโลกที่ ได้ร่วมรับฟัง แต่นั่นไม่ได้เป็นคำปราศรัยที่ท่านคิดขณะนั้นและพูดขณะนั้น แต่เป็นการเตรียมมาก่อนไม่ว่าจะเป็นท่าที ลีลา คำพูดที่ควรจะเน้นตรงไหน หรือเบาตรงไหน

ดังนั้น ถ้าคุณเห็นว่าการพูดติดอ่างเป็นปัญหาต่อการพูดจาสื่อสารกับบุคคลอื่น เพราะคุณกำลังเริ่มทำ งาน การฝึกหัดคงจะเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด บางคนอาจจะฝึกหัดด้วยตัวเอง โดยเตรียมตัวทุกวันก่อนออกจากบ้าน ฝึกอ่านหนังสือดังๆ ฝึกคิด ทบทวนว่าถ้าพูดกับใครจะโต้ตอบอย่างไร เรียกว่าเตรียมตัวให้พร้อมซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ นอกเหนือจากการฝึกหัด

บางครั้งสังคมไทยยังยอมรับพฤติกรรมที่การตอบ คำถามของผู้อื่น เช่น เมื่อเขาถามประโยคซึ่งคุณอึดอัด ใจหรือไม่แน่ใจว่าถ้าตอบไปแล้วจะมีการติดอ่างหรือไม่ หลายคนก็ใช้วิธียิ้มตอบ หรือเฉยๆ ซึ่งคนที่ถามก็จะยอมรับได้เช่นกัน

ประธานาธิบดี ของสหรัฐอเมริกาที่พูดติดอ่าง มิหนำซ้ำยังเคยสอบตก ตอนที่สมัครเป็นประธานาธิบดี คือท่านประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่คนชาติอื่นๆทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี ถ้าคุณได้อ่าน ประวัติของท่านจะเห็นว่า ท่านเอาชนะอาการพูดติดอ่างด้วยการฝึกฝนตัวเองตลอดเวลา จนสามารถเป็นประธานาธิบดีที่พูดคำขวัญที่ประทับใจชาวอเมริกันและประชาชนทั่ว โลก โดยกล่าวว่าประชาธิปไตยคือระบอบ การปกครองโดยประชาชนและเพื่อประชาชน และอีกคำขวัญหนึ่งก็คือคำกล่าวที่ว่า อย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรกับท่าน แต่จงถามว่าท่านจะให้อะไรกับประเทศชาติ ซึ่งเป็นคำขวัญที่ประทับใจและนำไปใช้ได้ตลอดกาล

ถ้าคุณได้ลองฝึก แล้วและคิดว่า ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ขณะนี้ยังไม่มีสถานที่ที่รักษาหรือบำบัดเรื่องพูดติดอ่างโดยตรง แต่อาจจะนำไปปรึกษากับจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้ๆบ้าน หรือใกล้ที่ทำงานของคุณก็ได้ บางครั้งก็อาจจะได้เพิ่มนอกเหนือจากที่คุณเล่าประกอบกับความเห็น ทำให้แพทย์สามารถให้คำแนะนำได้มากกว่าที่ป้าหมอแนะนำไป

และป้าหมอ มั่นใจว่าเมื่อคุณมีความมุ่งมั่นก็จะทำให้อาการพูดติดอ่างที่เกิดขึ้นลดลง และหมดไปอย่างแน่นอน


-------------------------------------------------

ที่นี้มาดูหมออย่างพวกเราๆกันบ้าง

: จาก http://board.dserver.org/w/wwwt/00000150.html


โรคติดอ่างนี้จากการวิจัยศึกษาของนักจิตวิทยา(เมือง นอก)พบว่ามีสาเหตุมาจากสภาวะทางจิตโดยที่คนที่ติดอ่างนั้นมักจะเป็นคนที่มี ความไม่มั่นใจในตัวเองแฝงอยู่ลึกๆหรือตื้นๆทั้งสองกรณี บวกกับสภาวะความเครียดทางอารมณ์...มีผลให้ที่จิตใต้สำนึกไปทำให้อวัยวะที่ เกี่ยวข้องกับการออกเสียงไม่ทำงานเต็มที(หรือทำงานแบบไม่เต็มใจ)นั่นเองและ สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

การติดอ่างจะมีอยู่หลายระดับ ระดับที่เป็นมากจะเป็นตลอดเวลา ระดับไม่มากจะเป็นบางโอกาสเช่นเวลามที่เครียดมากๆ อยู่อยู่ในสถาการณ์ที่ชวนให้ตื่นเต้น เช่น อยู่ต่อหน้าเพาตรงข้ามหรือพูดคุยกับคนแปลกหน้า

การพูดติดอ่างเล็กน้อย หรือการพูดสะดุดคำบางคำ เป็นเรื่องที่พบบ่อยในหมู่เด็กเล็ก อันเป็นผลจากการที่ เด็กมีความกระตือรือร้นที่จะพูดที่เร็วกว่า ความสามารถของร่างกาย จะตอบสนองได้ทัน
จัดว่าไม่แปลกเพราะเกือบทุกรายบอกได้เลยว่า ปัญหาทั้งหลายจะหายไปเองโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษใด ๆ

การพูดติดอ่างต่อเนื่องในเด็กโต จะพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง ความตึงเครียดทางอารมณ์จะทำให้อาการดังกล่าวเลวลง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจะไปใส่ใจ หรือจ้องให้ความสนใจ ในความลำบากของเด็กจนเกินไป อย่างไรก็ตาม การบำบัดปัญหาการพูด จะช่วยเด็กที่พูดติดอ่างได้ดี และส่วนใหญ่จะหายขาด

การพูดติดอ่างนอกจากจะเป็น เรื่องของกรรมพันธุ์แล้ว ยังถือว่าการเลี้ยงดูและจิตใจก็เป็นอีกปัจจัยนึงที่ทำให้ เด็กพูดติดอ่างได้(เรียกว่ามักเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว...
การที่เด็กพูดคำซ้ำๆ ไม่ออกเป็นประโยคเสียที เราเรียกว่าพูดติดอ่าง มีบางส่วนอาจเกิดจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องทำให้เด็กเร่งพูด และเกิดจากความกังวลก่อนจะพูดทุกครั้ง กลัวโดนว่าหรือกลัวถูกเยาะเย้ย หรือไม่มีใครฟังเด็กพูดเลย ลูกจึงต้องเร่งการพูด ขอให้ใจเย็นๆ กับลูกนะคะ อย่าจ้องหน้าลูกเวลาเด็กจะพูด เพื่อให้เด็กผ่อนคลาย การพูดของเขาจะค่อยๆดีขึ้น

สรุปว่ามาจากผลทางอารมณ์และประสบการณ์ตอนเยาวัยนั่งล่ะ

ส่วนพวกผู้ใหญ่นี้ก็มีการติดอ่างเหมือนกันแต่ติดอ่างเป็นบางครั้ง เช่น อ่างที่เจ้าพระยา อบอาบนวด 5555....แบบนี้นิสัยไม่ดี ต้องรักษาอาการด้วยไม้หน้าสามแทน
^_^...

ติดอ่างนี้แก้ได้โดยการฝึกความมั่นใจให้กับตนเอง

ปลาวาฬทรายติดอ่างเปล่าจ้ะ

ดีแล้วล่ะที่ไม่ไปดูหนังบ่อยๆ GTW เองก็นานๆ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีชื้อแผ่นมาดูที่บ้านเพราะสะดวก แม้จะไม่ได้อรรถรสและสุนทรียรสเหมือนดูโรงใหญ่ก็พอแก้ขัดได้

หนังนี่ก็เป็นสิ่งที่นอกเหนือเหตุผลทางอารมณ์ของคนนะ บางทีหนังเศร้าก็อาจทำให้เราร้องไห้ไก้(ทั้งๆที่พยายามบอกตนเองว่านั่นไม่ ใช่เรื่องจริง แต่ทำไมจิตใจมันถึงได้อินไปกับหนังก็ไม่รู้ เฮ้อ..แปลกดี GTW เป็นคนหนึ่งที่ต่อมน้ำตาตื้นดูหนังเศร้าไม่ค่อยจะได้พาลจะทำให้หลั่งน้ำตา 555...ทั้งที่เป็นชายอกสี่ศอกแท้ๆ.....ดีนะที่ดูหนังเศร้าแล้วไม่ติดอ่าง ^_^.....สงสัยเป็นคน sensitive มากไปหน่อย ดังนั้นถ้าหนังเศร้ามากๆ จะใช้วิธีปิดหูปิดตาพยายามนึกเรื่องขำๆ ไม่ให้น้ำตาไหลจนเสียฟอร์ม 55555......

ขนาดอ่านอะไรเศร้าๆก็ยังจะเป็น เอ้อ กุ้มจาย....^_^

แว๊ก..เที่ยงคืนกว่าแล้วปายนอนก่อนนะจ้ะแล้วคุยกันใหม่จ้า
แว่บ
------------------------------------
: จาก http://dek-d.com/board/view.php?id=1523229

ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเจ้าของกระทู้เคยไปพบแพทย์หรือยังคะ?

ว่าอาการติดอ่างนี้ เกิดจากสาเหตุอะไร เป็นเพราะสภาพร่างกายหรือเปล่าน่ะค่ะ

อืม.. ในเบื้องต้นคิดว่าควรพบแพทย์ทางร่างกายเพื่อตรวจดูก่อนนะคะ ถ้าพบสาเหตุก็แก้กันไป

แต่ถ้าไม่ก็อยากแนะนำให้พบนักจิตวิทยาค่ะ

ตอน นี้วงการจิตวิทยาในเรื่องการพัฒนาทักษะการพูดนี่ค่อนข้างหายาก และป๊อบปูล่าพอสมควรนะคะ (ค่าตัวแพงดับดิ้น) แต่ก็ยังประจำอยู่ในโรงพยาบาลรัฐ รู้สึกที่โรงพยาบาลรามาฯ จะมีอ.ผู้หญิงอยู่ค่ะ เป็น speech therapist คือเป็นนักฝึกการออกเสียงโดยตรง คิดว่าจะช่วยเหลือในด้านนี้ได้นะ ในไทยได้ยินว่ามีอยู่สัก 6 คนเองนะ (ถ้าจำไม่ผิด)

ถ้าหากคิดว่าตัวเองเป็นกังวล ลองแก้เองแล้วไม่หาย ยังไงลองปรึกษาคุณหมอดูบ้างก็ดีค่ะ

เพื่อนเราก็มีลักษณะบกพร่อง เรื่องการออกเสียงเหมือนกัน พูดแล้วจะออกเสียงไม่ชัด ทำให้คนฟังฟังยาก เขาก็ไปฝึกตอนเรียนมหาลัยเนี่ยค่ะ ก็ดีขึ้นนะคะ

ในขั้นต้นก็คิดว่า ควรหัดพูดช้าๆ พูดทีละคำ และพูดให้เต็มเสียงก่อนค่ะ

อืม ถ้ามีข้อสงสัยยังไงมาตอบกระทู้ไว้ก็ได้ค่ะ ถ้ารู้อะไรจะบอกให้เน้อ

------------------------

(เป็นไงบ้างครับ..สาระพอได้ไหม)..55 แต่ถึงอย่างไรก็ฝากพ่อแม่พี่น้องทุกคนดูแลสุขภาพด้วยกันนะครับ..สำหรับวันนี้..บะบาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ฟังเพลงเย็นๆ กับ ศ.

ผู้ติดตาม

ฟังเพลงเย็นๆครับผม